วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Rue du Chat qui-Pêche



ถนนเส้นนี้คือถนนที่เล็กที่สุดในกรุงปารีส อยู่ในเขต 5 ในย่าน Quartier Sorbonne มีชื่อเรียกว่า
" Rue du Chat qui -Pêche " หรือแปลเป็นไทยว่า " ถนนแมวตกปลา " เป็นถนนที่มีความกว้าง 1.8 เมตร โดยเริ่มต้นจากถนนสายที่ 9 " quai Saint-Michel " จนถึงถนนสายที่ 12 " La rue de la Hauchette " รวมแล้วถนนเส้นนี้ยาวเพียง 29 เมตรเท่านั้นเอง
Rue du Chat qui Pêche นี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1540 โดยมีชื่อเดิมว่า " Rue des Etuves " หรือ " ถนนเตาอบ" และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น " Rue du Renard " หรือ " ถนนสุนัขจิ้งจอก " (ปัจจุบันมีถนนชื่อ " Rue du Renard " ซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ Seine) ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น " Rue du Chat qui -Pêche " ซึ่งมาจากป้ายของร้านค้าร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณนั้น โดยมีข้อความดังนี้
" Aller voir pêcher les chats,Se Laisser persuader facilement. "
นอกจากนี้แล้ว ในกรุงปารีสก็ยังมีทางเดินอีกสองแห่งที่มีขนาดเล็กพอๆกัน และถูกจัดรวมกลุ่มกับสถานที่เล็กๆเช่นเดียวกับ Rue du Chat qui-Pêche เสมอๆ ที่แรกคือ " Le sentier des Merisiers " หรือ " ตรอกเชอร์รี่ " ซึ่งตั้งอยู่ในเขต 12 มีความกว้าง 1 เมตร ทางเดินอีกแห่งคือ " Le passage de la duée " หรือ " ทางเดินครบกำหนด " ตั้งอยูในเขต 20 และมีความกว้างเพียง 80 เซนติเมตรเท่านั้น


Le sentier des Merisiers

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

English language


English is a West Germanic language that arose in the Anglo-Saxon kingdoms of England and spread into what was to become south-east Scotland under the influence of the Anglian medieval kingdom of Northumbria. Following the economic, political, military, scientific, cultural, and colonial influence of Great Britain and the United Kingdom from the 18th century, via the British Empire, and of the United States since the mid-20th century, it has been widely dispersed around the world, become the leading language of international discourse, and has acquired use as lingua franca in many regions.It is widely learned as a second language and used as an official language of the European Union and many Commonwealth countries, as well as in many world organizations. It is the third most natively spoken language in the world, after Mandarin Chinese and Spanish. Historically, English originated from the fusion of languages and dialects, now collectively termed Old English, which were brought to the eastern coast of Great Britain by Germanic (Anglo-Saxon) settlers by the 5th century – with the word English being derived from the name of the Angles. A significant number of English words are constructed based on roots from Latin, because Latin in some form was the lingua franca of the Christian Church and of European intellectual life.The language was further influenced by the Old Norse language with Viking invasions in the 8th and 9th centuries.
The
Norman conquest of England in the 11th century gave rise to heavy borrowings from Norman-French, and vocabulary and spelling conventions began to give the superficial appearance of a close relationship with Romance languagesto what had now become Middle English. The Great Vowel Shift that began in the south of England in the 15th century is one of the historical events that mark the emergence of Modern English from Middle English.
Owing to the significant assimilation of various European languages throughout history, modern English contains a very large vocabulary. The
Oxford English Dictionary lists over 250,000 distinct words, not including many technical or slang terms, or words that belong to multiple word classes.

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไฟเบอร์ (Fiber) กากใยอาหารที่ช่วยให้เรามีสุขภาพดี








ไฟเบอร์หรือกากใยอาหารในผักผลไม้ ไม่เพียงช่วยระบบขับถ่ายของคุณ แต่ยังมีประโยชน์อีกมหาศาลที่คุณอาจนึกไม่ถึง กว่ายี่สิบปีที่เราได้ยินคำกล่าวที่ว่าควรกินกากใยอาหาร หรือไฟเบอร์ให้มากๆ บทบาทสำคัญของโภชนาการนี้ คือรักษาร่างกายให้ทำงานเหมือนนาฬิกา แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลอย่างเดียวที่คุณพึงบริโภคกากใยอาหาร มีหลักฐานแสดงว่าโภชนาการที่มีกากใยสูงนั้นจะช่วยปกป้องเราจากโรคหัวใจและมะเร็ง
ไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร: ข้อเท็จจริงและประโยชน์ที่คุณควรรู้
ไฟเบอร์สำคัญต่อการรักษาระบบการย่อยอาหารทำให้มีสุขภาพดี และทำงานตามลำดับ โภชนาการที่มีกากใยต่ำ ส่งผลให้ท้องผูก การขับถ่ายเกิดความเจ็บปวดเพราะอุจจาระแข็ง เส้นโลหิตที่ทวารเบ่ง ปวดและเจ็บ ถ้าเราเพิ่มการรับกากใยอาหารจะช่วยให้ขับถ่ายได้สม่ำเสมอและลดความกดดันในท้องได้ดีขึ้น
ปริมาณไฟเบอร์ที่เหมาะสมกับร่างกาย
ปริมาณไฟเบอร์หรือกากใยอาหารต่อวันที่ร่างกายพึงได้รับ คือ 25 กรัม สำหรับผู้หญิง และ 30 กรัม สำหรับผู้ชาย ขณะที่เด็กวัย 1-8 ขวบ ต้องการไฟเบอร์อยู่ที่ 14-18 กรัม ขณะที่เด็กโตและวัยรุ่น ต้องการ 20-24 กรัม หลายคนหลงเชื่อว่าตัวเองกินไฟเบอร์เยอะแล้วทั้งๆ ที่ไม่ใช่ การกินสลัดเพียบนั้นไม่ได้หมายความว่าได้รับกากใยอาหารมาก ที่จริงสลัดมีกากใยมากอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการที่คุณกินมันหมด แปลว่าคุณได้รับไฟเบอร์ที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว








กากใยช่วยหัวใจของคุณ
นักวิทยาศาสตร์พบว่ากากใยเพิ่มพิเศษวันละ 10 กรัมนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ถึง 17% และลดการเสียชีวิตลงไปได้ถึง 9%
เริ่มต้นรับไฟเบอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการ
เมื่อคุณเริ่มเพิ่มปริมาณกากใยอาหาร ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว ทั้งนี้กากใยที่รับมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเกิดบวมน้ำ และมีลมในท้อง แบคทีเรียซึ่งกินกากใยในการขับถ่าย จะสร้างแก๊สมากขึ้นในขณะที่คุณกลับกลั้นไว้ ซึ่งจะทำให้อาการแย่ลง ส่งผลให้คุณบวมน้ำ และอึดอัด
ไฟเบอร์ลดความเสี่ยงมะเร็งได้
การค้นคว้าของสถาบันมะเร็งของสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินโฮลเกรน และอาหารที่มีกากใยอาหารหรือไฟเบอร์เพียงพอ จะช่วยลดโอกาสในการเป็นมะเร็งในลำไส้ลงได้ถึง 49% นักวิทยาศาสตร์ทำการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าคนที่กินกากใยสูงสุดจากเมล็ดพันธ์ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักลงได้อย่างมาก
กากใยบำรุงสายตา








การบริโภคกากใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่เพียงพอ ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อบริเวณสายตาของคุณ
การบริโภคกากใยในปริมาณสูง จะช่วยปกป้องดวงตาของคุณ จากข้อมูลพบว่า สาเหตุหนึ่งของการตาบอดมากที่สุดเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวเสื่อม โดยพบมากในคนที่รับประทานอาหารประเภทที่มีการดูดซึมเป็นพลังงานรวดเร็ว หรือมีค่าดัชนีไกลซีมิก (Glycemic idex) สูง ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการเกิดโรคตา เมื่อเทียบกับคนที่ทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ขนมปังโฮลเกรน และซีเรียลธัญพืชจะมีความเสี่ยงต่ำกว่า
ค่าดัชนีไกลซีมิก หรืออัตราการดูดซึมไปใช้ (Glycemic Index) ที่สูง จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลขึ้นสูงก่อนลดลงวูบต่ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่อาหารที่มีไฟเบอร์สูงจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้ดี และช่วยควบคุมความอยากอาหารของคุณ
กระจายการบริโภคไฟเบอร์ในแต่ละมื้อ
แทนที่คุณจะเลือกกินไฟเบอร์หรือกากใยอาหารในหนึ่งมื้อให้พอต่อวัน คุณอาจเลือกกระจายปริมาณออกไปในแต่ละมื้อ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องท้องอืด
ประเภทของกากใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่ควรรู้
ไฟเบอร์อาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ ชนิดละลายน้ำได้ และแบบละลายน้ำไม่ได้ โดยในแบบละลายน้ำได้ มีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเส้นเลือด ซึ่งมีมากในรำข้าว ผักใบเขียว และผลไม้ต่างๆ ส่วนไฟเบอร์แบบที่ละลายน้ำไม่ได้ จะมีประโยชน์ในเรื่องของการย่อยอาหารให้ทำงานปกติ ป้องกันการท้องผูกและความผิดปกติในลำไส้ซึ่งจะมีมากในพืชตระกูลถั่ว ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ โดยคนเราควรได้รับไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำไม่ได้ และละลายน้ำได้ในอัตรา 70:30








วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

Vasco Da Gama




Vasco da Gama, 1st Count of Vidigueira (Portuguese pronunciation: [ˈvaʃku dɐ ˈɡɐmɐ]) (Sines or Vidigueira, Alentejo, Portugal, around 1460 or 1469 – 24 December 1524 in Kochi, India) was a Portuguese explorer, one of the most successful in the European Age of Discovery and the commander of the first ships to sail directly from Europe to India. For a short time in 1524 he was Governor of Portuguese India under the title of Viceroy.

Early life
Vasco da Gama was born in either 1460 or 1469 in Sines, on the southwest coast of Portugal, probably in a house near the church of Nossa Senhora das Salas. Sines, one of the few seaports on the Alentejo coast, consisted of little more than a cluster of whitewashed, red-tiled cottages, tenanted chiefly by fisherfolk.


Vasco da Gama's father was Estêvão da Gama. In the 1460s he was a knight in the household of the Duke of Viseu, Dom Fernando,who appointed him Alcaide-Mór or Civil Governor of Sines and enabled him to receive a small revenue from taxes on soap making in Estremoz.
Estêvão da Gama was married to
Dona Isabel Sodré, daughter of João Sodré (also known as João de Resende). Sodré, who was of English descent, had links to the household of Prince Diogo, Duke of Viseu, son of king Edward I of Portugal and governor of the military Order of Christ.
Little is known of Vasco da Gama's early life. The Portuguese historian Teixeira de Aragão suggests that Gama studied at the inland town of
Évora, which is where he may have learned mathematics and navigation. It is evident that Gama knew astronomy well, and it is possible that he may have studied under the astronomer Abraham Zacuto.
In 1492 King
John II of Portugal sent Gama to the port of Setúbal, south of Lisbon and to the Algarve to seize French ships in retaliation for peacetime depredations against Portuguese shipping - a task that Vasco rapidly and effectively performed

Exploration before Gama
From the early fifteenth century, the nautical school of Henry the Navigator had been extending Portuguese knowledge of the African coastline. From the 1460s, the goal had become one of rounding that continent's southern extremity to gain easier access to the riches of India (mainly black pepper and other spices) through a reliable sea route.
The
Republic of Venice had gained control over much of the trade routes between Europe and Asia. Portugal hoped to use the route pioneered by Bartolomeu Dias to break the Venetian trading monopoly.
By the time Gama was ten years old, these long-term plans were coming to fruition.
Bartolomeu Dias had returned from rounding the Cape of Good Hope, having explored as far as the Fish River (Rio do Infante) in modern-day South Africa and having verified that the unknown coast stretched away to the northeast.
Concurrent land exploration during the reign of
João II of Portugal supported the theory that India was reachable by sea from the Atlantic Ocean. Pero da Covilhã and Afonso de Paiva were sent via Barcelona, Naples and Rhodes, into Alexandria and thence to Aden, Hormuz and India, which gave credence to the theory.
It remained for an explorer to prove the link between the findings of Dias and those of da Covilhã and de Paiva and to connect these separate segments into a potentially lucrative trade route into the Indian Ocean. The task, originally given to Vasco da Gama's father, was offered to Vasco by
Manuel I on the strength of his record of protecting Portuguese trading stations along the African Gold Coast from depredations by the French.

First voyage
The route followed in Vasco da Gama's first voyage (1497–1499)
On 8 July 1497 Vasco da Gama led a fleet of four ships with a crew of 170 men from
Lisbon. The distance traveled in the journey around Africa to India and back was greater than around the equator.The navigators included Portugal's most experienced, Pero de Alenquer, Pedro Escobar, João de Coimbra, and Afonso Gonçalves. It is not known for certain how many people were in each ship's crew but approximately 55 returned, and two ships were lost. Two of the vessels were as naus or newly built for the voyage, possibly a caravel and a supply boat.The four ships were:
The
São Gabriel, commanded by Vasco da Gama; a carrack of 178 tons, length 27 m, width 8.5 m, draft 2.3 m, sails of 372 m²
The São Rafael, whose commander was his brother
Paulo da Gama; similar dimensions to the São Gabriel
The
caravel Berrio, slightly smaller than the former two (later re-baptised São Miguel), commanded by Nicolau Coelho
A storage ship of unknown name, commanded by Gonçalo Nunes, later lost near the Bay of São Brás, along the east coast of Africa

Journey to the Cape



Monument to the Cross of Vasco da Gama at the Cape of Good Hope, South Africa
The expedition set sail from Lisbon on 8 July 1497, following the route pioneered by earlier explorers along the coast of Africa via
Tenerife and the Cape Verde Islands. After reaching the coast of present day Sierra Leone, Gama took a course south into the open ocean, crossing the Equator and seeking the South Atlantic westerlies that Bartolomeu Dias had discovered in 1487. This course proved successful and on November 4, 1497, the expedition made landfall on the African coast. For over three months the ships had sailed more than 6,000 miles of open ocean, by far the longest journey out of sight of land made by the time.
By December 16, the fleet had passed the
Great Fish River - where Dias had turned back - and sailed into waters previously unknown to Europeans. With Christmas pending, Gama and his crew gave the coast they were passing the name Natal, which carried the connotation of "birth of Christ" in Portuguese.
Arab-controlled territory on the East African coast was an integral part of the network of trade in the Indian Ocean. Fearing the local population would be hostile to Christians, Gama impersonated a Muslim and gained audience with the Sultan of Mozambique. With the paltry trade goods he had to offer, Gama was unable to provide a suitable gift to the ruler and soon the local populace became suspicious of Gama and his men. Forced by a hostile crowd to flee Mozambique, Gama departed the harbor, firing his cannons into the city in retaliation.

Mombasa
In the vicinity of modern Kenya, the expedition resorted to piracy, looting Arab merchant ships - generally unarmed trading vessels without heavy cannons. The Portuguese became the first known Europeans to visit the port of Mombasa but were met with hostility and soon departed.

Malindi



In February 1498, Vasco da Gama continued north, landing at the friendlier port of Malindi - whose leaders were then in conflict with those of Mombasa - and there the expedition first noted evidence of Indian traders. Gama and his crew contracted the services of a pilot whose knowledge of the monsoon winds allowed him to bring the expedition the rest of the way to Calicut (Kozhikode), located on the southwest coast of India. Sources differ over the identity of the pilot, calling him variously a Christian, a Muslim, and a Gujarati. One traditional story describes the pilot as the famous Arab navigator Ibn Majid, but other contemporaneous accounts place Majid elsewhere, and he could not have been near the vicinity at the time. Also, none of the Portuguese historians of the time mention Ibn Majid.
Calicut, India
The fleet arrived in Kappad near Calicut, India on 20 May 1498. The King of Calicut, the Saamoothiri (Zamorin), who was at that time staying in his second capital at Ponnani, returned to Calicut on hearing the news of the European fleets's arrival.The king ordered the visitors to move to the then famous port of Panthalayani. de Gama landed at panthalayani( not kappad as some say[who?]) that is 6 km away from kappad.[citation needed] The navigator was received with traditional hospitality, including a grand procession of at least 3,000 armed Nairs, but an interview with the Zamorin failed to produce any concrete results. The presents that da Gama sent to the Zamorin as gifts from Dom Manuel—four cloaks of scarlet cloth, six hats, four branches of corals, twelve almasares, a box with seven brass vessels, a chest of sugar, two barrels of oil and a cask of honey—were trivial, and failed to cut any ice. While Zamorin's officials wondered at why there was no gold or silver, the Muslim merchants who considered da Gama their rival suggested that the latter was only an ordinary pirate and not a royal ambassador! Vasco da Gama's request for permission to leave a factor behind him in charge of the merchandise he could not sell was turned down by the King, who insisted that da Gama pay customs duty—preferably in gold—like any other trader, which strained the relation between the two. Annoyed by this, da Gama carried a few Nairs and sixteen Mukkuva fishermen off with him by force.Nevertheless, da Gama's expedition was successful beyond all reasonable expectation, bringing in cargo that was worth sixty times the cost of the expedition.

Return



Vasco da Gama set sail for home on 29 August 1498. Eager to leave he ignored the local knowledge of monsoon wind patterns, which was still blowing onshore. Crossing the Indian Ocean to India, sailing with the monsoon wind, had taken Gama's ships only 23 days. The return trip across the ocean, sailing against the wind, took 132 days, and Gama arrived in Malindi on 7 January 1499. During this trip, approximately half of the crew died, and many of the rest were afflicted with scurvy. Two of Gama's ships made it back to Portugal, arriving in July and August of 1499.
Vasco da Gama returned to Portugal in September 1499 and was richly rewarded as the man who had brought to fruition a plan that had taken eighty years to fulfill. He was given the title "Admiral of the Indian Seas, and his feudal rights to Sines were confirmed.
Manuel I also awarded the perpetual title of Dom (lord) to Gama, as well as to his brothers and sisters and to all of their descendants.
The spice trade would prove to be a major asset to the Portuguese economy, and other consequences soon followed. For example, Gama's voyage had made it clear that the east coast of Africa, the Contra Costa, was essential to Portuguese interests; its ports provided fresh water, provisions, timber, and harbors for repairs, and served as a refuge where ships could wait out unfavorable weather. One significant result was the colonization of
Mozambique by the Portuguese Crown.
However, Gama's achievements were somewhat dimmed by his failure to bring any trade goods of interest to the nations of India. Moreover, the sea route was fraught with its own perils - his fleet went more than thirty days without seeing land and only 60 of his 180 companions, on one of his three ships, returned to Portugal in 1498. Nevertheless, Gama's initial journey opened a direct sea route to Asia.

Second voyage
Main article: 4th Portuguese India Armada (Gama, 1502)
On 12 February 1502, Gama commnanded the
4th Portuguese Armada to India, a fleet of fifteen ships and eight hundred men, with the object of enforcing Portuguese interests in the east. On reaching India in October 1502, Gama started capturing any Arab vessel he came across in Indian waters. While the Zamorin was willing to sign a treaty, Gama made a preposterous call to the Hindu King to expel all Muslims from Calicut which was naturally turned down. He bombarded the city that destroyed several houses on the sea shore and captured several rice vessels and barbariously cut off the crew's hands, ears and noses.He returned to Portugal in September 1503. He then sailed south to Cochin, a small vassal kingdom of Calicut where he was given a warm welcome. He returned to Europe with silk and gold.
Once he had reached the northern parts of the Indian Ocean, Gama waited for a ship to return from
Mecca and seized all the merchandise on it. He then ordered the hundreds of passengers be locked in the hold and the ship - named Mîrî, and which contained many wealthy Muslim merchants — to be set on fire.
Gama assaulted and exacted tribute from the Arab-controlled port of
Kilwa in East Africa, one of those ports involved in frustrating the Portuguese. His ships engaged in privateer actions against Arab merchant ships.
Third voyage
In 1519 he became the first Count of Vidigueira, a count title created by King Manuel I of Portugal on a royal decree issued in Évora in December 29, after an agreement with Dom Jaime, Duke of Braganza, who cede him on payment the towns of Vidigueira and Vila dos Frades, granting Vasco da Gama and his heirs all the revenues and privileges related,thus becoming the first Portuguese count (earl) who was not born with royal blood.
Having acquired a fearsome reputation as a "fixer" of problems that arose in India, Vasco da Gama was sent to the subcontinent once more in 1524. The intention was that he was to replace the incompetent
Eduardo de Menezes as viceroy (representative) of the Portuguese possessions, but Gama contracted malaria not long after arriving in Goa and died in the city of Cochin on Christmas Eve in 1524.
His body was first buried at
St. Francis Church, which was located at Fort Kochi in the city of Kochi, but his remains were returned to Portugal in 1539. The body of Vasco da Gama was re-interred in Vidigueira in a casket decorated with gold and jewels.
The
Monastery of the Hieronymites in Belém was erected in honor of his voyage to India.
Acts of Cruelty
Vasco da Gama inflicted acts of cruelty upon competing traders and local inhabitants.During his second voyage to Calicut, Gama intercepted a ship of Muslim pilgrims at Madayi travelling from Calicut to Mecca. Described by the Portuguese historian Gaspar Correia as one that is unequalled in cold- blooded cruelty, Gama looted the ship with over 400 pilgrims on board including 50 women, locked the passengers, the owner and an ambassador from Egypt and burnt them to death. They offered their wealth which 'could ransom all the Christian slaves in the Kingdom of Fez and much more' but were not spared. Gama looked on through the porthole and saw the women bringing up their gold and jewels and holding up their babies to beg for mercy.
After demanding the expulsion of Muslims from Calicut to the
Hindu Zamorin, the latter sent the high priest Talappana Namboothiri (the very same person who conducted Gama to the Zamorin's chamber during his much celebrated first visit to Calicut in May 1498) for talks, Gama called him a spy, ordered the priests' lips and ears to be cut off and after sewing a pair of dog's ears to his head, sent him away.

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

การนอนกับอาการปวดหลัง


ท่านอน ถือเป็นท่าที่หมอนรองกระดูกสันหลังรับแรงน้อยที่สุด ดังนั้นท่านอนจึงเป็นท่าพักผ่อนที่ดีที่สุด บางคนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสบายจนถึงเช้า อาจไม่สนใจว่าตนเองจะนอนท่าไหน รู้ตัวอีกทีตื่นมาตอนเช้าพบว่าเกิดอาการปวดหลัง หรือหันหน้าซ้ายขวาไม่ได้เลย จนต้องรีบไปหาหมอ
ท่านอนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป บางคนชอบนอนหงาย บางคนก็ชอบนอนตะแคง หรือบางท่านอาจชอบนอนคว่ำก็มี เราลองมาดูกันว่าท่านอนแต่ละท่านั้น มีความแตกต่างกันอย่างไร และควรนอนในแต่ละท่าอย่างไรให้ถูกต้อง
ท่านอนหงาย โดยมีหมอนหนุนใต้ข้อเข่า ให้ข้อสะโพกงอเล็กน้อย ท่านี้ถือว่าเป็นท่านอนที่เหมาะ หรือเป็นท่าที่ลดแรงกดของหลังได้ดี ส่วนที่ศีรษะควรมีหมอนเตี้ยๆ นุ่มๆ หนุนให้รู้สึกสบาย
ท่านอนตะแคง เป็นท่าที่ดีอีกท่าหนึ่ง โดยเฉพาะหากได้งอเข่าข้างหนึ่ง และมีหมอนข้างกอดไว้ หรือจะงอเข่าทั้งสองข้างในท่าคู้ตัวก็ได้ สำหรับหมอนที่ใช้หนุนในท่านี้ควรมีความหนามากพอที่จะให้ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว หากใช้หมอนเตี้ยเกินไป ศีรษะจะเอียงลงหรือหาหมอนที่มีความสูงเท่าหรือใกล้เคียงกับระยะจากระดับด้านข้างของศีรษะไปถึงแนวระดับไหล่ เมื่อหนุนแล้ว จึงทำให้แนวของกระดูกสันหลังส่วนคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลังส่วนอกและส่วนเอว
ท่านอนคว่ำ ถือว่าเป็นท่าที่ไม่ดี เพราะการนอนคว่ำนั้นจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวโค้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ เวลาเรานอนคว่ำก็ต้องตะแคงหน้าไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะทำให้กระดูกต้นคอบิดไปด้วย
นอกจากเรื่องของท่านอนที่เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว องค์ประกอบอื่นๆ อย่างหมอนหรือที่นอนก็มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพหลังของคนเราด้วยเช่นกัน
หมอนที่ใช้หนุนคอ ถือว่ามีส่วนช่วยรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอให้อยู่ในแนวโค้งที่ปกติ เพราะในขณะที่หลับ กล้ามเนื้อรอบๆ คอจะคลายตัว หากคออยู่ในท่าที่ไม่ดี ตื่นมาอาจปวดคอหรือคอแข็งได้ ดังนั้น หมอนที่ใช้ควรมีความนุ่มและขนาดพอดี โดยทั่วไปหมอนมาตรฐานควรมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 นิ้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนคอสั้นหรือคอยาว เพราะถ้าคุณเป็นคนคอยาวมากไป การใช้หมอนมาตรฐานก็จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าที่แหงนมากเกินไป
มีผู้ป่วยไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องปวดต้นคอ หรือคอแข็งโดยไม่คิดว่าสาเหตุเกิดจากหมอนที่ตนเองใช้อยู่ แต่การที่จะบอกว่าหมอนแบบไหน หรือใบใดที่จะเหมาะกับใครนั้น เห็นทีจะยากสักหน่อย แต่ก็มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อคุณหนุนหมอนใบนั้นแล้วรู้สึกสบายคอ หรือตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดเมื่อยต้นคอให้เป็นที่รำคาญใจ ก็ถือว่าเพียงพอ และไม่จำเป็นว่าต้องมีราคาแพงเสมอไปนะครับ หมอนราคาถูกๆ แต่เป็นขนาดที่เหมาะกับคุณ ก็จะสามารถรองรับศีรษะและกระดูกสันหลังส่วนคอให้กับคุณได้ดีทีเดียว
ที่นอน สำหรับที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ที่คนไทยเราใช้กันอยู่นั้น เป็นที่นอนที่เหมาะอยู่แล้ว เพราะไม่แข็งหรือนุ่มจนเกินไป แต่สำหรับที่นอนฟองน้ำที่ใช้กับเตียงสปริง ถือว่าเป็นที่นอนที่ไม่เหมาะกับสุขภาพหลัง หรือสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะมีความนุ่มหรืออ่อนตัวมากเกินไป ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ผิดปกติ
บางคนเข้าใจผิดว่า การนอนที่นอนแข็งๆ เช่น บนไม้กระดาน, เสื่อ หรือนอนกับพื้น จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ จริงๆ แล้วไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ ที่นอนที่ถูกควรมีลักษณะที่เรียกว่าแน่น หรือเป็นที่นอนที่ยัดนุ่น ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เหล่านี้เป็นเพียงองค์ประกอบในการนอน ที่จะช่วยป้องกันและรักษาอาการปวดหลังแต่ถ้าหากสาเหตุการปวดหลังของคุณเกิดจากอุบัติเหตุหรือเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หรือแม้กระทั่งจากความเครียด คุณก็คงต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป

เคร็ดลับในการอ่านหนังสือที่ดี


1.เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2.จากนั้นให้ปิดหนังสือ!แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้

ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆอ่านหนังสือด้วยวิธีการนี้จะทำให้เราเข้าใจบทเรียนได้ทั้งเล่ม ไม่ลืมเลย

10 อันตรายทลายโลก จากเทคโนโลยี


1.แฮกเกอร์ อย่างที่เรารู้กัน แฮกเกอร์มีทั้งดีทั้งร้าย ทั้งพวก "ไวท์ แฮท" แล้วก็พวก "แบล๊ค แฮท" เจ้าพวกกลุ่มหลังนี่แหละครับที่ ริชาร์ด ฮอร์น บอกว่า อันตรายสุดสุด เคยอวดฝีมือในการเจาะระบบคอมพ์ของหน่วยงานอย่างเพนตากอน, ระบบเตือนภัยด้านกลาโหมแห่งชาติ, นาซา, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, ฐานทัพอากาศกริฟฟิธ, สถาบันวิจัยนิวเคลียร์แห่งชาติเกาหลี มาแล้ว และอาจจะทำได้อีกในอนาคต น่าสนใจนะครับ ที่บริษัทที่โดนเจาะระบบบ่อยที่สุดก็คือ ไมโครซอฟท์ นั่นเอง หายนะระดับทลายโลกอาจมาเยือนได้ ถ้าพวกนี้เจาะเข้าไปในระบบกลาโหมของประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขวว่ามีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ขึ้น หลังจากนั้น ทั้งโลกก็อาจตกอยู่ในสงครามเทอร์โมนิวเคลียร์ได้ง่าย ๆ
2.ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) นักวิทยาศาสตร์และนักค้นคว้าวิจัยของหลายประเทศพยายามอย่างมากที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้ "คิด" เองได้ ริชาร์ด ฮอร์น แสดงความกังขาเอาไว้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นถ้ามัน "คิด" และ "ตระหนักรู้ในการมีอยู่" ของตัวมัน และระบบของมันที่ถักทอเป็นเครือข่ายโยงใยไปทั่วโลก ความกระหายใคร่รู้ไม่รู้จักจบสิ้นของมัน อาจทำให้ทั้งประวัติศาสตร์และอนาคตของทั้งคนและเครื่องจักรตกอยู่ในกำมือของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากมันรับรู้ว่ามนุษย์เราคิดต่อมันอย่างไรและเป็นปฏิปักษ์กับพวกมันแค่ไหน
3.ไวรัสจากห้องทดลอง อันนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยเลยทีเดียว ริชาร์ด ฮอร์น บอกว่า ต้องมีสักวันที่นักวิจัยในห้องทดลองเพื่อหาหนทางต่อต้านหรือฆ่าไวรัส ทำอะไรสักอย่างผิดพลาดโดยอุบัติเหตุ ส่งผลให้ไวรัสในห้องทดลองออกมาอาละวาดในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้นักวิจัยกำลังทดลองพัฒนาไวรัสขึ้นมากลุ่มหนึ่งเพื่อให้ทำหน้าที่ "รักษา" (ด้วยการ "ทำลาย") เซลล์มะเร็งในร่างกายมนุษย์ คำถามที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือว่า เมื่อมันทำหน้าที่ของมัน (กินเซลล์มะเร็ง) เสร็จแล้ว ทำอย่างไรถึงจะ "หยุด" มันได้
4.สเต็มเซลล์ หรือที่เราเรียกกันว่า เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชีวภาพที่โด่งดังมากที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เป้าหมายใน "อุดมคติ" ก็คือว่า คนเราสามารถบังคับเซลล์ต้นกำเนิดให้พัฒนาไปเป็นอวัยวะอะไรก็ได้ เพื่อนำมาใช้ "ทดแทน" ของเดิมที่พิกลพิการเสียหาย ข้อกังขาของ ริชาร์ด ฮอร์น ก็คือ ถ้าเกิดเราไม่คิด "ทดแทน" แต่อยาก "เพิ่ม" ล่ะ? เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่า มนุษย์ในยุคนี้จะสูญสิ้นไปกลายเป็น มนุษย์ 10 หน้า 20 แขนในยุคหน้า
5.หุ่นยนต์ ลองนึกถึงหุ่นยนต์กบฏในหนัง "ไอ-โรบ็อท" แล้วกันครับ ริชาร์ด ฮอร์น คิดคล้าย ๆ อย่างนั้น แต่เขาบอกด้วยว่า คงอีกนานที่หุ่นจะ "คิด" เองได้ และก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องพลังงานที่ตอนนี้ยังเป็น แบตเตอรี่อยู่ได้
6.อินเทอร์เน็ต น่าคิดนะครับที่ ริชาร์ด ฮอร์น เขาบอกว่า อินเอร์เน็ตนำอันตรายหลาย ๆ อย่างมาให้คนเรามากกว่าที่หลายคนตระหนัก ตั้งแต่การถูกขโมยอัตลักษณ์ ไปจนถึงการถูกหลอกลวงเสียทั้งเงินเสียทั้งชีวิต แต่หายนะจริง ๆ ในความคิดของเขาก็คือ โลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าหากมี "ไอ้โรคจิต" คนไหนสักคนยึดเอาระบบอินเทอร์เน็ตทั้งระบบไว้ได้
7.อาวุธนิวเคลียร์ อันนี้เห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่อยากเพิ่มเติมว่า โลกเราเคยเฉียด ๆ ใกล้สงครามนิวเคลียร์มาแล้ว 3 ครั้ง (หลังการระเบิดที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ) ครั้งแรกเมื่อปี 1962 ที่เรียกกันว่า วิกฤตคิวบา ครั้งที่ 2 เมื่อปี 1983 ที่ระบบเตือนภัยล่วงหน้าของสหภาพโซเวียตตรวจจับกลุ่มเมฆรูปดอกเห็ดได้ แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นควันจากระเบิดนิวเคลียร์ หนสุดท้ายเกิดในปีเดียวกัน เมื่อโซเวียตเข้าใจผิดว่าการซ้อมรบของนาโต้คือการโจมตีจริง ๆ
8.คอมพิวเตอร์ เมลท์ดาวน์ ถ้าระบบคอมพิวเตอร์ทั้งโลกหรือครึ่งโลกล่มสลายลงเอง โดยไม่ใช่ความผิดของเรา อะไรจะเกิดขึ้นตามมา นั่นแหละคือสิ่งที่ริชาร์ดเรียกว่า "เมลท์ดาวน์" เขาบอกว่า ในทางวิทยาศาสตร์นั้นเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะจากสาเหตุของการเกิดไฟกระชากแรงมาก ๆ หรือเกิดจาก "พายุสุริยะ" ปรากฏการณ์ธรรมชาติของดวงอาทิตย์ แต่ต้องขนาดใหญ่มากกว่าที่เคยเกิดอยู่บ่อย ๆ มาก
9.โคลนนิ่ง คงเป็นเรื่องหายนะของโลกได้อย่างแน่นอน ถ้าหากมีผู้นำเอาเทคโนโลยีโคลนนิ่งไปใช้ในทางที่ผิด หรือในทางด้านการทหาร
10.นาโนบ็อท นักวิทยาศาสตร์พยายามใช้ประโยชน์จากนาโนเทคโนโลยี เพื่อให้ทำในสิ่งที่เหลือเชื่อได้ในทางการแพทย์และอื่น ๆ อย่างเช่นการสร้างหุ่นยนต์นาโนขึ้นมาให้สามารถ "จำลอง" ตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ เพื่อทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บป่วยในร่างกายที่แพทย์เข้าไม่ถึง ริชาร์ด ฮอร์น บอกว่า หายนะอาจมาเยือนโลกได้ในอนาคตหากมันไม่ยอมหยุดสร้างตัวเอง กองทัพนาโนบ็อทที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจะกลืนกินโลกทั้งโลกได้เลย ไม่รู้ว่าใน 10 อย่างนี้จะมีคนเห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุด ข้อสังเกตของ ริชาร์ด ฮอร์น บอกเราได้อย่างหนึ่งว่า ทุกอย่างมีสองด้านเสมอ การใช้เทคโนโลยีนั้นจำเป็นต้องพอดีและมีสติยั้งคิด

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับรักษาผิวขาว


5 เคล็ดลับรักษาผิวสาว
การปล่อยปละละเลยให้ผิวชำรุดทรุดโทรมจนดูร่วงโรยก่อนวัย แม้เครื่องสำอางชั้นดีแค่ไหนก็ยากที่จะเรียกความสดใสกลับคืนมาได้นอกเสียจะช่วยไม่ให้คุณมีริ้วรอยมากไปกว่านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณส่วนใหญ่ แนะนำว่าการดูแลผิว ต้องใส่ใจกันตั้งแต่วัยสาวๆนี่แหล่ะค่ะยิ่งเริ่มเร็วเมื่อไหร่ ก็จะยิ่งยืดความเสื่อมของเซลล์ไปได้มากขึ้น ลองมาดูเทคนิค 5 ข้อ เพื่อช่วยรักษาผิวสาวให้ดูสดใสไปนานๆค่ะ
1. ทาครีมกันแดด่ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติคทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไปส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น
2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอยผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน เกิดริ้วรอยมากกกว่าอีกด้าน ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้
3. กินอาหารดีๆอาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควร
4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือนการพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย
5. รู้จักผ่อนคลายความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัขของคุณ ก็ช่วยคลายเครียดได้

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กะทกรกหรือเสาวรส (Passion Fruit)



กระทกรก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Passiflora foetida L.; ชื่อภาษาอังกฤษ: Fetid passionflower, Scarletfruit passionflower, Stinking passionflower) ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ รก กระโปรงทอง ละพุบาบี หญ้ารกช้าง (ใต้) ตำลึงฝรั่ง เป็นไม้เถาเลื้อยคล้ายตำลึง เถาค่อนข้างคดไปงอมา เถามีหนามเล็ก ๆ ขึ้นอยู่ห่าง ๆ โดยทั่วไป ใบเป็นใบเดี่ยว รูปใบมนโค้งผิวเรียบปลายใบแหลมโดยแยกเป็นสามแฉก ใบและเส้นใบบริเวณที่ติดต่อกันมีสีแดงเรื่อ บริเวณใกล้โคนก้านใบมีแฉกแหลมเล็กเรียงตรงกันข้ามสลับกัน ก้านใบ มีขนาดก้านไม้ขีด ยาว 5 –6 เซนติเมตร มีขนอ่อนเป็นฝอยขนาดเล็ก ดอกมีลักษณะก้านดอกยาวกว่าใบ ดอกบานออกกลมกว้าง กลีบดอกสีขาวแซมด้วยริ้วสีม่วง ผลค่อนข้างกลมขนาดปลายนิ้วมือ และห่อหุ้มด้วย “รก” ผลสุกมีสีเหลือง
ขยายพันธุ์โดยการใช้เมล็ด นิเวศวิทยาและการแพร่กระจายขึ้นอยู่ตามที่รกร้างหรือขอบไร่ชายนา และบริเวณป่าพื้นราบ โดยเลื้อยพันกิ่งต้นไม้อื่น ๆ
ประโยชน์ทางด้านอาหาร ยอด ใช้เป็นผักสด มีรสขมเล็กน้อย หรือลวกจิ้มกับน้ำพริกและใช้แกงเลียง ผล ใช้กินเมล็ดและเยื่อหุ้มเมล็ด ทางด้านสมุนไพร เนื้อไม้ ใช้เป็นยาควบคุมธาตุ ถอนพิษเบื่อเมาทุกชนิดและใช้รักษาบาดแผล ราก ใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข แก้กามโรค ใบ ใช้ตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาน้ำดื่มเป็นยาเบื่อและขับพยาธิ ดอก ขับเสมหะ แก้ไอ ผล แก้ปวด บำรุงปอด ใบสด ใช้พอกแก้สิว ต้น ใช้ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไอ และอาการบวม





กระทกรก / เสาวรส (Passion Fruit)
กระทกรก หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เสาวรสเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา และผิวพรรณ เนื่องจากมีวิตามินเอ สูง ทั้งยังช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ลดไขมันในเส้นเลือด และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในเสาวรสนั้นมีวิตามินซี สูง คือ ๓๙.๑ มก./๑๐๐ มก. ซึ่งมีมากกว่ามะนาวเสียอีก






เสาวรสหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กระทกรกฝรั่ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Passion Fruit เป็นไม้ผลที่อยู่ในตระกูล Passifloraceae เสาวรสมี 2 ชนิดคือชนิดผลสีม่วง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Passifloraedulis และผลสีเหลืองที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า P. edulis F. flavicarpa
โดยทั่วไปแล้วเสาวรสเป็นผลไม้อุตสาหกรรมคือปลูกเพื่อนำผลผลิตไปแปรรูปเป็นน้ำผลไม้เนื่องจากในผลมีน้ำมาก รสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมแต่ก็สามารถรับประทานผลสดได้ โดยเฉพาะบางพันธุ์ที่ผลมีรสชาติค่อนข้างหวาน สำหรับในประเทศไทยนั้นได้นำเสาวรสเข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 โดยเป็นพันธุ์สีม่วง ต่อมาได้มีผู้นำเข้ามาปลูกอีกในอีกหลายพื้นที่ทั้งพันธุ์ผลสีม่วงและผลสีเหลือง จนกระทั่งได้มีการปลูกเป็นการค้ากันทั่วไปแต่ก็ปลูกเพื่อส่งโรงงานแปรรูปเท่านั้น โดยมีแหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน เพชรบูรณ์ ระยอง ตราด ปราจีนบุรี บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี ชุมพร นราธิวาสและสุราษฎร์ธานี เป็นต้น ส่วนผลผลิตที่จำหน่ายเพื่อบริโภคสดนั้นไม่ใช่พันธุ์สำหรับรับประทานผลสดโดยตรง แต่เป็นการคัดเอาผลผลิตเสาวรสพันธุ์สำหรับแปรรูปบางพันธุ์ที่มีรสชาติค่อนข้างดี เช่น พันธุ์ผลสีม่วงมาจำหน่ายเป็นเสาวรสรับประทานสดแทน
ที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มูลนิธิโครงการหลวงและกรมวิชาการเกษตร ได้มีการพยายามวิจัยหาพันธุ์เสาวรสสำหรับประทานสดโดยเฉพาะ เนื่องจากผลผลิตเสาวรสสำหรับรับประทานสดมีราคาสูงกว่าเสาวรสสำหรับแปรรูปมาก ในส่วนของมูลนิธิโครงการหลวงนั้นได้มีการวิจัยหาพันธุ์เสาวรสสำหรับรับประทานสดมานานแล้วโดยได้นำเสาวรสสายพันธุ์จากประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลียและไต้หวัน มาปลูกทดสอบในสถานีต่าง ๆ ได้แก่ สถานีเกษตรหลวงปางดะ, อินทนนท์, ห้วยลึก และแม่ลาน้อย เป็นต้น แต่ในระยะแรกยังไม่มีพันธุ์ไดที่มีลักษณะครบถ้วนตามที่ต้องการคือ ผลผลิตมีรสชาติดีซึ่งต้องค่อนข้างหวาน ขนาดผลใหญ่ให้ผลผลิตสูงและปลูกง่าย เนื่องจากพบว่าเสาวรสพันธุ์สำหรับรับประทานสดส่วนใหญ่ที่รสชาติดี แต่ผลมักจะมีขนาดเล็กให้ผลผลิตต่ำและค่อนข้างอ่อนแอ
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2539 จึงประสบความสำเร็จคัดเลือกได้เสาวรสพันธุ์รับประทานสดที่มีลักษณะตามต้องการ 2 สายพันธุ์ โดยคัดเลือกจากต้นที่เพาะเมล็ดจากเสาวรสสายพันธุ์จากประเทศไต้หวัน และได้นำออกส่งเสริมในปี พ.ศ. 2540 ซึ่งพบว่าผลผลิตเป็นที่ยอมรับและต้องการของผู้บริโภคมาก ทำให้ปัจจุบันผลผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดและต้องเร่งขยายการส่งเสริมเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เสาวรสรับประทานสดจะเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
เสาวรสที่ถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของฟื้นที่สูงในอเมริกาได้เป็นไม้ประเภทเลื้อยมีอายุหลายปีลักษณะดอกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ แต่เสาวรสบางพันธุ์คือพันธุ์ผลสีเหลืองส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติดต้องผสมข้ามต้น ดอกเสาวรสจะเกิดที่ข้อบริเวณโคนก้านใบของเถาใหม่พร้อมกับการเจริญของเถา โดยต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ดจะออกดอกติดผลเมื่อต้นมีอายุประมาณ 4-5 เดือน หลังปลูกลงแปลง แต่ถ้าเป็นต้นที่เสียบยอดหรือปักชำจะสามารถออกดอกติดผลได้เร็วขึ้น
ผลเสาวรสเป็นผลเดียว สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 50-70 วันหลังติดผล มีหลายลักษณะ เช่น กลม รูปไข่ หรือผลรียาวขึ้นอยู่กับพันธุ์ เปลือกผลและเนื้อส่วนนอกแข็งไม่สามารถรับประทานได้ผลมี 2 สีคือผลสีม่วงและผลสีเหลือง ภายในผลมีเมล็ดสีน้ำตาลเข้มหรือดำเป็นจำนวนมากแต่ละเมล็ดจะถูกหุ้มด้วยรกซึ่งบรรจุน้ำสีเหลืองมีลักษณะเหนียวข้นอยู่ภายใน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีความเป็นกรดสูง และส่วนที่นำไปใช้บริโภคก็คือส่วนที่เป็นน้ำสีเหลืองนี้เอง

ชนิดและพันธุ์เสาวรส
โดยทั่วไปแล้วเสาวรสสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือชนิดผลสีม่วง และชนิดผลสีเหลืองซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันคือ
1. เสาวรสชนิดผลสีม่วง (Passiflora edulis)
เสาวรสชนิดนี้ผิวผลจะเป็นสีม่วงผลมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ดอกสามารถผสมตัวเองได้ดีดอกจะบานในตอนเช้า ผลสุกมีรสหวานและกลิ่นหอมกว่าพันธุ์สีเหลือง แต่ผลมักจะมีขนาดเล็กกว่าคือเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 4-5 เซนติเมตร น้ำหนัก 50-60 กรัมต่อผล
2. เสาวรสชนิดผลสีเหลือง (Deneger P. edulis Forma F. flavicarpa)
ลักษณะผิวผลจะมีสีเหลืองผลมีขนาดใหญ่กว่าชนิดผลสีม่วงคือเส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 80-120 กรัมต่อผล เนื้อในให้ความเป็นกรดสูงกว่าชนิดสีม่วง จึงมีรสเปรี้ยวมากและใช้แปรรูป เป็นหลัก
เสาวรสชนิดผลสีเหลืองดอกจะบานในตอนเที่ยงส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติดต้องผสมข้ามต้นแต่ต้นมีทนทานต่อโรคต้นเน่า เถาเหี่ยว โรคไวรัสและทนต่อไส้เดือนฝอยมากกว่าพันธุ์สีม่วงจึงนิยมใช้เป็นต้นตอในการเสียบกิ่งของพันธุ์ม่วง

พันธุ์เสาวรสรับประทานสด
เสาวรสพันธุ์รับประทานสดที่มูลนิธิโครงการหลวง คัดเลือกได้และส่งเสริมให้ปลูกเป็นการค้ามี 2 พันธุ์คือเสาวรสรับประทานสดเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์สีม่วงทั้ง 2 พันธุ์ โดยคัดเลือกได้เมื่อปี พ.ศ. 2539 จากต้นที่เพาะเมล็ดจากเสาวรสสายพันธุ์ไต้เหวัน

1. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1
ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง เมื่อตัดขวางผลจะเห็นว่ามีลักษณะเป็น 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนักผลประมาณ 70-80 กรัมต่อผลรสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม ความหวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix

2. พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2
ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับพันธุ์เบอร์ 1 แต่สีผลจะเข้มและมีคุณภาพดีกว่าพันธ์เบอร์ 1 คือ รสชาติหวานและน้ำหนักต่อผลสูงกว่า โดยผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 70-100 กรัมต่อผล ความหวานเฉลี่ยที่ประมาณ 17-18 Brix พันธุ์นี้เปลือกหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงสามารถเก็บไว้ได้นาน
ปัจจุบันมูลนิธิโครงการหลวง ได้เน้นให้เกษตรกรที่ปลูกเสาวรสใช้พันธุ์รับประทานเบอร์ 2 สำหรับปลูกเป็นการค้าเนื่องจากลักษณะเด่นที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สำหรับพันธุ์ที่ใช้แปรรูปทั้งสีม่วงและสีเหลืองก็สามารถปลูกเพื่อรับประทานผลสดได้แต่ราคาของผลผลิตจะต่ำกว่าตามคุณภาพของผลผลิต

การขยายพันธุ์เสาวรส
วิธีการขยายพันธุ์
การปลูกเสาวรสรับประทานสดจะแตกต่างจากเสาวรสโรงงานที่ปลูกด้วยต้นกล้าจากการเพราะเมล็ด คือ ต้องรักษาให้เผลผลิตมีคุณภาพและรสชาติดี ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากพันธุ์เดิม ดังนั้นการปลูกจึงจำเป็นต้องใช้ต้นกล้าที่ได้จากการเปลี่ยนยอดพันธุ์ดีโดยมีขั้นตอน ดังนี้

1. การเพาะเมล็ดสำหรับทำต้นตอ
ต้นตอที่ใช้ควรเป็นเสาวรสโรงงานชนิดพันธุ์สีเหลือง เนื่องจากมีความแข็งแรงและทนทานตอโรงแมลงได้ดี และเมล็ดที่จะนำมาเพราะควรคัดจากผลและต้นแม่ที่สมบูรณ์ไม่เป็นโรคไวรัส นำมาล้างเอารกที่หุ้มเมล็ดออก นำมาผึ่งให้แห้งแล้วจึงนำไปเพาะแต่ไม่ควรเก็บเมล็ดไว้นานเกินไปเพราะจะทำให้ความงอกลดลง
การเพาะเมล็ดสามารถทำได้ทั้งในภาชนะ เช่น ถุงพลาสติกและตะกร้าหรือในแปลงเพาะกล้าโดยวัสดุเพาะใช้ดิน ปุ๋ยหมัก ขี้เถ้าแกลบและขุยมะพร้าว ผสมกันในสัดส่วน 2:1:1:1 ใช้วิธีโรยเมล็ดเป็นแถวแล้วกลบด้วยวัสดุเพาะให้หน้าประมาณ 1 เซนติเมตร ระวังอย่าให้เมล็ดแน่นเกินไปเพราะจะทำให้เกิดโรคโคนเน่า ปกติเมล็ดที่เพาะจะงอกภายใน 7-10 วัน หลังจากต้นกล้ามีใบจริง 1 ใบ ซึ่งอายุประมาณ 15-20 วันหลังเพาะจึงย้ายลงถุงปลูกขนาด 2.5 x 6 นิ้ว หรือแปลงปลูก ถ้าเป็นฤดูฝนหรือสามารถให้น้ำได้ทั้งนี้ขึ้นกับว้าจะเปลี่ยนยอกดเป็นพันธุ์ดีในเรือนเพาะชำหรือในแปลงปลูก ในระหว่างการเพาะกล้านั้นต้องมีการพ่นยาป้องกันกำจัดมดที่จะทำลายเมล็ดและแมลงที่เป็นเพาหะของโรคไวรัส เช่น เพลี้ยไฟและไรแดงอยู่เสมอ เพื่อให้ต้นกล้าปลอดจากโรคไวรัสและต้องให้ปุ๋ยช่วยเพื่อให้ต้นกล้าเจริญเติบโตเร็วขึ้น โดยอาจจะให้ปุ๋ยทางใบหรือใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หรือ 21-0-0 ผสมน้ำรด หลังจากที่ต้นกล้ามีอายุประมาณ 2-3 เดือน จึงสามารถเปลี่ยนยอดเป็นพันธุ์ดีดได้

2. การเปลี่ยนยอดพันธุ์
เสาวรสเป็นพืชที่สามารถเปลี่ยนยอดได้ง่ายและทำได้ทุกฤดูกาล ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้ 2 แบบคือ การเปลี่ยนยอดพันธุ์ต้นกล้าในถุงก่อนนำไปปลูกและการนำต้นตอไปปลูกในแปลงก่อนแล้วจึงเปลี่ยนพันธุ์ภายหลัง
2.1 การเปลี่ยนยอดต้นกล้าที่ปลูกในถุง
การเปลี่ยนยอดแบบนี้มีข้อดีคือทำได้ง่ายและสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เนื่องจากทำได้ในพื้นที่จำกัดและสามารถคัดเลือกต้นกล้าที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงสม่ำเสมอกันไปปลูก นอกจากนี้ยังให้ผลผลิตได้เร็วขึ้นจึงเป็นวิธีการที่แนะนำให้ใช้การเปลี่ยนยอดนิยมใช้วิธีเสียบลิ่ม (Cleft grafting) ซึ่งทำได้ 2 แบบคือ
2.1.1 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน
การเปลี่ยนยอดแบบนี้งานพัฒนาและส่งเสริมไม้ผล มูลนิธิโครงการหลวงได้พัฒนาขึ้นเพื่อลดการติดโรคไวรัสของต้นกล้า ปรับปรุงคุณภาพของต้นกล้าให้แข็งแรงสมบูรณ์สม่ำเสมอมากขึ้น ลดระยะเวลาในการเลี้ยงต้นกล้าในถุงปลูกให้สั้นลง เพื่อให้ระบบรากไม่เสียและให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้ต่อเนื่องไม่ชะงัดการเจริญเติบโตหลังการเปลี่ยนยอด
ต้นตอที่เหมาะสำหรับเปลี่ยนยอดคืออายุ 1.5-2 เดือน หลังเพาะซึ่งจะมีใบประมาณ 5-7 ใบและต้นยังอ่อนอยู่ ทำการเตรียมแผลของต้นตอโดยตัดยอดให้เหลือใบ 3-4 ใบ ผ่าต้นตอลึก 1.5-2.0 เซนติเมตร นำยอดพันธุ์ที่เป็นปลายยอดอ่อน ความยาวประมาณ 5 เซนติเมตรมีใบ 2-3 ใบ มาปาดเป็นรูปลิ่มความยาวเท่ากับแผลของต้นตอ จากนั้นนำมาเสียบลงบนต้นตอผูกด้วยเชือกฟาง ยางยืดหรือใช้ตัวหนีบ เสร็จแล้วนำต้นใส่ไว้ในกระโจมพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นไม่ให้ยอดเหี่ยว หลังจากนั้น 7 วัน ยอดพันธุ์ดีจะติดสามารถนำออกจากกระโจมและเลี้ยงให้แข็งแรงอีก 20-30 วันก่อนนำไปปลูก
2.1.2 การเปลี่ยนยอดแบบใช้ตาข้าง
การเปลี่ยนพันธุ์แบบนี้เป็นวิธีการที่ใช้อยู่เดิม ซึ่งมีวิธีการเช่นเดียวกับการเปลี่ยนยอดแบบใช้ยอดอ่อน แต่ต้นตอที่ใช้จะต้องมีอายุมากกว่าคือประมาณ 3-4 เดือน เพื่อให้ต้นตอมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับยอดพันธุ์ดีที่ใช้ โดยตัดเถาให้มีตาข้าง 2 ตาและตัดใบออกให้เหลือครึ่งใบ ในกรณีที่ไม่มีกระโจมการเปลี่ยนยอดแบบนี้สามารถใช้ถุงครอบยอดเป็นต้นๆ ได้ หรือใส่ในกระโจมขนาดใหญ่ได้ เพราะไม่ต้องรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอมากนัก
2.2 การเปลี่ยนยอดพันธุ์ในแปลงปลูก
วิธีการนี้จะทำหลังจากที่นำต้นตอลงไปปลูกในแปลงแล้ว ซึ่งมีข้อเสียคือยากแก่การเปลี่ยนพันธุ์และดูแลรักษาเนื่องจากใช้พื้นที่มาก แต่จะเหมาะสำหรับพื้นที่ปลูกที่อาศัยน้ำฝน เพราะสามารถปลูกต้นตอซึ่งมีความแข็งแรงกว่าต้นที่เปลี่ยนพันธุ์ลงไปก่อนในช่วงปลายฤดูฝนแล้วจึงทำการเปลี่ยนยอดพันธุ์ภายหลัง
การเปลี่ยนยอดสามารถทำได้ตั้งแต่หลังปลูกต้นตอไปแล้วประมาณ 1 เดือนจนกระทั่งเถาเจริญถึงค้างแล้ว โดยวิธีการเสียบลิ่ม (Cleft grafting) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพันธุ์ในถุงปลูก แต่กิ่งพันธุ์ที่นั้นจะเอาใบออกทั้งหมดและต้องคลุมด้วยถุงพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นและหุ้มด้วยกระดาษป้องกันความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนยอดพันธุ์ได้โดยวิธีการเสียบข้าง (Side grafting) ได้ หลังการเปลี่ยนยอดให้รักษาใบของต้นตอไว้แต่ต้องหมั่นปลิดยอดที่จะแตกจากตาข้างของต้นตอออก เพื่อไม่ให้แข่งขันกับยอดพันธุ์ดี

การวางแผนการขยายพันธุ์และการผลิตต้นกล้า
การขยายพันธุ์และผลิตต้นกล้าเสาวรสนั้นต้องมีการวางแผนให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ต้องการปลูก ฤดูกาลและนิสัยการเจริญเติบโตของเสาวรสโดยเฉพาะระยะเวลาให้ผลผลิต การวางแผนที่ถูกต้องจะทำให้เสาวรสให้ผลผลิตอย่างเต็มที่และเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาน้อยที่สุด โดยต้องวางแผนผลิตต้นกล้าให้มีอายุเหมาะสมพอดีเมื่อถึงเวลาปลูกที่ได้กำหนดไว้ว่าเหมาะสมสำหรับรูปแบบการปลูกต่างๆ เช่นปลูกแบบให้น้ำหรือการปลูกแบบอาศัยน้ำฝน การผลิตต้นกล้าเร็วเกินไปจะทำให้ต้องเลี้ยงต้นไว้ในถุงนานจะมีปัญหาระบบรากไม่ดีและต้นทุนการดูแลเพิ่มขึ้น การผลิตต้องล้าช้าก็จะทำให้ต้นกล้าไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอเพียงกับระยะเวลาปลูกที่เหมาะสม

การปลูกเสาวรสรับประทานสด
เสาวรสรับประทานสดมีวิธีการปลูกและการปฏิบัติดูแลรักษาเช่นเดียวกับเสาวรสโรงงาน แต่ต้องเพิ่มความประณีตในการปฏิบัติดูแลรักษาบางอย่าง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ปกติแล้วเสาวรสเป็นพืชที่มีอายุยาวนานหลายปี แต่โดยทั่วไปแล้วมีการปลูกกัน 2 ระบบ คือ การปลูกแบบเก็บเกี่ยว 1 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง และเก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาลต่อการปลูก 1 ครั้ง แต่ระบบที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ในปัจจุบันคือแบบปลูก 1 ครั้ง เก็บเกี่ยว 2-3 ฤดูกาล เนื่องจากเป็นการลดต้นทุนคือลงทุนทำค้าง 1 ครั้งสามารถเก็บผลผลิตได้ยาวนานขึ้น
การผลิตและการตลาดเสาวรส
เนื่องจากเสาวรสรับประทานสดเป็นพันธุ์ที่มูลนิธิโครงการหลวงวิจัยได้และส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ผลิต ปัจจุบันจึงมีผลผลิตจากมูลนิธิโครงการหลวงเท่านั้นที่ออกสู่ตลาด โดยมีผลผลิตส่งจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541/2542(ส.ค.2541-ก.พ.2542) จำนวน 3,905.5 กิโลกรัม ปีพ.ศ.254/2543(มี.ค.2545-ก.พ.2543) จำนวน 7,012 กิโลกรัมและในปี พ.ศ.2543/2544 (มี.ค.2543-ก.พ.2544) จำนวน 37,925 กิโลกรัม แต่พบว่าปริมาณผลผลิตยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด เนื่องจากผลผลิตเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทำให้ความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการเพิ่มการผลิต ในขณะที่ราคาผลผลิตอยู่ในระดับที่ดีคือเฉลี่ยกิโลกรัมละประมาณ 10-12 บาท ซึ่งสูงกว่าเสาวรสโรงงานถึง 3-4 เท่า
จากสภาพดังกล่าวจึงคาดว่าเสาวรสรับประทานสดมีศักยภาพที่จะส่งเสริมให้เป็นไม้ผลเศรษฐกิจชนิดหนึ่งได้ ทั้งบนพื้นที่สูงและพื้นที่ต่ำ แต่ทั้งนี้การขยายการผลิตในระยะแรกคือ 2-3 ปีข้างหน้าต้องวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโดยคาดว่าไม่ควรเกิน 200 ตันต่อไป เพื่อรักษาระดับราคาของผลผลิตไม่ให้ลดต่ำลงและเพื่อศึกษาความต้องการของตลาดในอนาคตข้างหน้าให้แน่นอนอีกครั้ง
การปลูกเสาวรสนั้นมีปัญหาสำคัญประการหนึ่งคือการใช้ไม้ทำค้างดังนั้นการส่งเสริมปลูกต้องระวังไม่ให้เกิดปัญหาการตัดไม้ทำลายป่ามาเพื่อใช้ทำค้าง การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้ไผ่ควบคู่กับการปลูกเสาวรสจะเป็นประโยชน์มาก

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้าวโอ๊ต สมุนไพรลดความอ้วน






ข้าวโอ๊ต ( Oat ) เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูล Avena sativa ที่นิยมเพาะปลูกใน แถบยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเจริญเติบโตได้ดี ในเขตหนาว ชาวยุโรปนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ข้าวโอ๊ต เป็นพืชที่ให้เมล็ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต


รำข้าวโอ๊ต ( Oat Bran ) เป็นเส้นใย Fiber ที่ได้จากการขัดสี ข้าวโอ๊ต ให้ขาว หรือ คือเส้นใยบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ด ข้าวโอ๊ต นั่นเอง โดยเราพบว่า รำข้าวโอ๊ต จะให้เส้นใยอาหาร หรือ fiber 2 ชนิด คือ
1. เส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้( Soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 95-98% ของปริมาณ เส้นใยอาหารทั้งหมด ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้เกิดสารละลายที่มีลักษณะเป็นเจล โดยเมื่อรับประทานเข้าไป ไฟเบอร์นี้จะละลายในสารอาหารก่อนที่ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเจลของไฟเบอร์จะเกาะติดกับสารอาหาร โดยเฉพาะไขมัน ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และจะเอาอาหารขับออกทางอุจจาระ จึงทำให้ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดได้
2. เส้นใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำ( Non-soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 2-5 % ของ ปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมด โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ โดยจะดูดซับน้ำใว้กับตัวเองทำให้พองตัว เมื่อรับประทานเข้าไปจึงจะส่งผลให้ จึงทำให้ ปริมาตรของสารที่ต้องการขับถ่ายเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูกได้
ดังนั้นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่ผลิตจาก รำข้าวโอ๊ต จึงนำมาใช้ในผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึง สารอาหารและวิตามินที่จำเป็นบางอย่างในอาหาร อาจ ถูกขับถ่ายออกไปด้วย
ขนาดที่รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหาร 20-30 นาทีทั้ง 3 มื้อ และดื่มน้ำตามประมาณ 1-2 แก้ว ราคาที่ขายตาม ท้องตลาดหรือร้านขายยา ประมาณ 11-12 บาทต่อแคปซูล (1000 มิลลิกรัม) แพงเอาการอยู่เหมือนกันนะครับ
ข้าวโอ๊ตพบมากในประเทศแถบยุโรป เป็นไฟเบอร์ที่ช่วยลดการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย และรำข้าวโอ๊ตจะเกาะติดกับไขมันทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันไปได้น้อย อีกทั้งยังช่วยในการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ไม่ทำให้ท้องผูก รำข้าวโอ๊ต บรรจุอยู่ในรูปของแคปซูลราคาค่อนข้างสูง

Angkor Wat




Angkor Wat is a Hindu temple complex at Angkor, Cambodia, built for the king Suryavarman II in the early 12th century as his state temple and part of his capital city. As the best-preserved temple at the site, it is the only one to have remained a significant religious centre since its foundation — first Hindu, dedicated to the god Vishnu, then Buddhist. The temple is the epitome of the high classical style of Khmer architecture. It has become a symbol of Cambodia, appearing on its national flag, and it is the country's prime attraction for visitors.
Angkor Wat combines two basic plans of Khmer temple
architecture: the temple mountain and the later galleried temple, based on early South Indian Hindu architecture, with key features such as the Jagati. It is designed to represent Mount Meru, home of the devas in Hindu mythology: within a moat and an outer wall 3.6 kilometres (2.2 mi) long are three rectangular galleries, each raised above the next. At the centre of the temple stands a quincunx of towers. Unlike most Angkorian temples, Angkor Wat is oriented to the west; scholars are divided as to the significance of this. The temple is admired for the grandeur and harmony of the architecture, its extensive bas-reliefs and for the numerous devatas (guardian spirits) adorning its walls.
The modern name, Angkor Wat, means "City Temple"; Angkor is a vernacular form of the word nokor which comes from the Sanskrit word नगर nagara meaning capital or city.
wat is the Khmer word for temple. Prior to this time the temple was known as Preah Pisnulok, after the posthumous title of its founder, Suryavarman II

History


Angkor Wat lies 5.5 km north of the modern town of
Siem Reap, and a short distance south and slightly east of the previous capital, which was centred on the Baphuon. It is in an area of Cambodia where there is an important group of ancient structures. It is the southernmost of Angkor's main sites.
The initial design and construction of the temple took place in the first half of the 12th century, during the reign of
Suryavarman II (ruled 1113 – c. 1150). Dedicated to Vishnu, it was built as the king's state temple and part of his capital city, which itself was seventeen times bigger than Manhattan Island. As neither the foundation stela nor any contemporary inscriptions referring to the temple have been found, its original name is unknown, but it may have been known as Vrah Vishnulok after the presiding deity. Work seems to have ended shortly after the king's death, leaving some of the bas-relief decoration unfinished. In 1177, approximately 27 years after the death of Suryavarman II, Angkor was sacked by the Chams, the traditional enemies of the Khmer. Thereafter the empire was restored by a new king, Jayavarman VII, who established a new capital and state temple (Angkor Thom and the Bayon respectively) a few kilometres to the north.
In the late 13th century, King
Jayavarman VIII, who was Hindu, was deposed by his son in law, Srindravarman. Srindravarman had spent the previous 10 years in Sri Lanka becoming ordained as a Buddhist monk. Hence, the new King decided to convert the official religion of the empire from Hindu to Buddhist. Since Buddha was born and died a Hindu and since divisions between both the faiths appeared seamless, citizens were quick to follow a faith founded on tranquility without a need for material gain and power. This made the conversion relatively easy.Hence, Angkor Wat was converted from Hindu to Theravada Buddhist use, which continues to the present day. Angkor Wat is unusual among the Angkor temples in that although it was somewhat neglected after the 16th century it was never completely abandoned, its preservation being due in part to the fact that its moat also provided some protection from encroachment by the jungle.
One of the first
Western visitors to the temple was Antonio da Magdalena, a Portuguese monk who visited in 1586 and said that it "is of such extraordinary construction that it is not possible to describe it with a pen, particularly since it is like no other building in the world. It has towers and decorations and all the refinements which the human genius can conceive of".However, the temple was popularised in the West only in the mid-19th century on the publication of Henri Mouhot's travel notes. The French explorer wrote of it:
"One of these temples—a rival to that of
Solomon, and erected by some ancient Michelangelo—might take an honourable place beside our most beautiful buildings. It is grander than anything left to us by Greece or Rome, and presents a sad contrast to the state of barbarism in which the nation is now plunged.
Mouhot, like other early Western visitors, found it difficult to believe that the Khmers could have built the temple, and mistakenly dated it to around the same era as Rome. The true history of Angkor Wat was pieced together only from stylistic and
epigraphic evidence accumulated during the subsequent clearing and restoration work carried out across the whole Angkor site.
There were no ordinary dwellings or houses or other signs of settlement including cooking utensils, weapons, or items of clothing usually found at ancient sites. Instead there is the evidence of the monuments themselves.
Angkor Wat required considerable restoration in the 20th century, mainly the removal of accumulated earth and vegetation.Work was interrupted by the civil war and
Khmer Rouge control of the country during the 1970s and 1980s, but relatively little damage was done during this period other than the theft and destruction of mostly post-Angkorian statues.
The temple is a powerful symbol of Cambodia, and is a source of great national pride that has factored into Cambodia's diplomatic relations with its neighbor Thailand, France and the United States. A depiction of Angkor Wat has been a part of
Cambodian national flags since the introduction of the first version circa 1863.
The splendid artistic legacy of Angkor Wat and other Khmer monuments in the
Angkor region led directly to France adopting Cambodia as a protectorate on August 11, 1863. This quickly led to Cambodia reclaiming lands in the northwestern corner of the country that had been under Thai control since the Thai invasion of 1431 AD.Cambodia gained independence from France on 9 November 1953 and has controlled Angkor Wat since that time.
During the midst of the
Vietnam War, Chief of State Norodom Sihanouk hosted Jacqueline Kennedy in Cambodia to fulfill her "lifelong dream of seeing Angkor Wat.
In
January 2003 riots erupted in Phnom Penh when a false rumour circulated that a Thai soap opera actress had claimed that Angkor Wat belonged to Thailand.

Angkor Wat today





The
Archaeological Survey of India carried out restoration work on the temple between 1986 and 1992.Since the 1990s, Angkor Wat has seen continued conservation efforts and a massive increase in tourism. The temple is part of the Angkor World Heritage Site, established in 1992, which has provided some funding and has encouraged the Cambodian government to protect the site.The German Apsara Conservation Project (GACP) is working to protect the devatas and other bas-reliefs which decorate the temple from damage. The organization's survey found that around 20% of the devatas were in very poor condition, mainly because of natural erosion and deterioration of the stone but in part also due to earlier restoration efforts. Other work involves the repair of collapsed sections of the structure, and prevention of further collapse: the west facade of the upper level, for example, has been buttressed by scaffolding since 2002, while a Japanese team completed restoration of the north library of the outer enclosure in 2005. World Monuments Fund began work on the Churning of the Sea of Milk Gallery in 2008.
Angkor Wat has become a major tourist destination. In 2004 and 2005, government figures suggest that, respectively, 561,000 and 677,000 foreign visitors arrived in Siem Reap province, approximately 50% of all foreign tourists in Cambodia for both years. The influx of tourists has so far caused relatively little damage, other than some
graffiti; ropes and wooden steps have been introduced to protect the bas-reliefs and floors, respectively. Tourism has also provided some additional funds for maintenance—as of 2000 approximately 28% of ticket revenues across the whole Angkor site was spent on the temples—although most work is carried out by foreign government-sponsored teams rather than by the Cambodian authorities.